อมยิ้ม

คลิปเทนส์

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เรียนรู้ภาษาอังกฤษ

    Grammar เป็นระบบของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษบางคนบอกว่าไวยากรณ์เป็น"กฎ"ของภาษาอังกฤษ แต่ในความเป็นจริงในภาษาอังกฤษไม่มีกฎ. ถ้าเราใช้คำว่า"กฎ"เราขอแนะนำให้คนสร้างกฎแรกแล้วลองพูดภาษาอังกฤษ
       แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้เริ่มต้นเช่นนั้น ภาษาอังกฤษเริ่มต้นโดยคนทำเสียงที่พัฒนาเป็นคำวลีและประโยค ไม่บ่อยนักที่ภาษาอังกฤษพูดทั่วไปคงที่ตายตัว ภาษาอังกฤษทั้งหมดมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เราเรียก"ไวยากรณ์ (Grammar)" เป็นเพียงภาพสะท้อนของภาษาอังกฤษที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้นถ้าถามว่าเราจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมั้ย? คำตอบสั้นๆ "ไม่จำเป็น" คนส่วนมากในโลกสามารถพูดภาษาอังกฤษท้องถิ่นได้เองโดยไม่ต้องศึกษาไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษ เด็กเริ่มพูดก่อนที่จะได้ทราบคำไวยากรณ์ด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณจริงจังเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษต่างประเทศที่ตอบยาว "จำเป็น" ไวยากรณ์จะช่วยให้คุณได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ขึ้น. สิ่งสำคัญคือการคิดของไวยากรณ์เป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้คุณเข้าใจไวยากรณ์ (หรือระบบ) ของภาษาอังกฤษที่คุณสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆด้วยตัวเองโดยไม่ต้องขอครูหรือดูในหนังสือดังนั้นคิดว่าไวยากรณ์เป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่ดีสิ่งที่คุณสามารถใช้เพื่อนำทางของคุณ -- คล้ายกับเสาติดป้ายบอกชื่อถนนหรือแผนที่นั่นเอง



เนื้อหาและส่วนประกอบ Grammar
          1. VERB TENSES                 2. SUBJECT – VERB AGREEMENT
         3. PASSIVE VOICE              4. AUXILIARIES / MODALS
         5. GERUND (V-ING)             6. INFINITIVES
         7. PARTICIPLES                  8. WORD FORMS (V-ing V.S. 3)
                                                     (Nouns, Verbs, Adjectives, Adverbs, Pronouns)
        9. PREPOSITIONS               10. ARTICLES, QUANTIFIERS AND QUALIFIERS
       11. COMPOUND SENTENCES 12. PARALLEL STRUCTURES
       13. ADVERB CLAUSES          14. CONDITIONAL SENTENCES
       15. RELATIVES CLAUSES      16. NOUN CLAUSE


  TENSE        Tense คือรูปกิริยาที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ต่างๆหมายความว่า ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ก็จะมีรูปกิริยา ที่เป็นอดีต (past tense) ถ้าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในสภาวะ การณ์ปัจจุบัน ก็จะมีรูปกิริยาที่เป็นปัจจุบัน (Present Tense) ถ้าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะมีรูปกิริยาที่ เป็นอนาคต ก็จะมีรูปกิริยาที่เป็นอนาคต (Future Tense) อนาคต

โครงสร้างของ Tense ต่างๆ มีดังนี้
      1. Present Tense 1.1 Present Simple S + Vช่อง1 +……… Present Simple Tense ตัวอย่าง Penrat calls me every day 1.2 Present Continuous S + is, am, are + Vช่อง1 + V -ing +……… ตัวอย่าง Penrat is cooking 1.3 Present Perfect S + has, have + Vช่อง 3 +………… ตัวอย่าง Penrat has already finished her work 1.4 Present Perfect Continuous S + has, have + been + V-ing…….. ตัวอย่าง Penrat has been sitting here for one hour
     2. Past Tense 2.1 Past Simple S + Vช่อง 2 +……… ตัวอย่าง Penrat bought a watch yesterday 2.2 Past Continuous S + was, were + Vช่อง1 + V -ing +……… ตัวอย่าง While Penrat was sleeping her friend called her last night 2.3 Past Perfect S + had +V ช่อง 3………… ตัวอย่าง Penrat had already eaten by the time I got home last night 2.4 Past Perfect Continuous S + had + been + V-ing…….. ตัวอย่าง Penrat had been studying for 2 hours before her friend came
     3. Future Tense 3.1 Future Simple S + will, shall + Vช่อง1 +……… ตัวอย่าง Penrat will call me tonight 3 .2 Future Continuous S + will, shall + be +V -ing +……… ตัวอย่าง Penrat will be sitting in class at this same time tomorrow 3 .3 Future Perfect S + will, shall+ have +V ช่อง 3 +………… ตัวอย่าง Penrat will have eaten by the time her parents arrive tonight 3 .4 Future Perfect Continuous S + will, shall+have + been + V-ing…….. ตัวอย่าง Penrat will have been working here for 12 years by the time she resigns next month
 
กริยาวิเศษณ์ (Adverb) คือคำที่ใช้ประกอบหรือขยาย คำกริยา(Verb), คำคุณศัพท์(Adjective), คำกริยาวิเศษณ์(Adverb)ด้วยกันเอง, คำสรรพนาม(Pronoun), กลุ่มคำที่เป็นวลี, ประโยค, จำนวนนับ, คำบุพบท(Preposition) และคำสันธาน(Conjunction ) เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
 คำกริยา (Verb) เป็นการบอกอาการ หรือการกระทำ ( action ) หรือความมีอยู่ เป็นอยู่ ( being ) หรือ สภาวะความเป็นอยู่ ( state of being ) การกระทำ She eats fish. He goes home. ความมีอยู่ ,เป็นอยู่ He is a doctor. He has a beautiful house. สภาวะความเป็นอยู่ She seemed tired. That cake tastes good.
คำสรรพนาม ( Pronoun ) คือ คำที่ใช้แทนคำนาม หรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คำสรรพนาม (pronouns ) ถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด คือ 1.Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม ) อาธิเช่น I, you, we,they, he , she ,it 2.Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) อาธิเช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours 3.Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี – self หรือ – selves ลงท้าย อาธิเช่น myself, yourself,ourselves 4.Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง ) อาธิเช่น this, that, these, those, one, such, the same 5.Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) อาธิเช่น all, some, any, somebody, something, someone 6.Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) อาธิเช่น Who, Which, What 7.Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) อาธิเช่น who, which, that
คำนาม ( Noun) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง
 

Part (พาร์ท) เป็น คำนาม แปลว่า ส่วน บริเวณ ส่วนประกอบ Speech (สพีช) เป็น คำนาม แปลว่า การพูด วิธีการพูด คำพูด ดังนั้น Part of Speech แปลว่า “ส่วนของคำพูด” หรือ “ชนิดของคำพูด” คำในภาษาอังกฤษทุกคำจะต้องเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของ Part of Speech ทั้งนั้น Part of Speech แบ่งออกเป็น 8 ชนิด ได้แก่ 1. Noun = คำนาม 2. Pronoun = คำสรรพนาม 3. Verb = คำกริยา 4. Adverb = คำกริยาวิเศษณ์ 5. Adjective = คำคุณศัพท์ 6. Preposition = คำบุพบท 7. Conjunction = คำสันธาน 8. Interjection = คำอุทาน